นายกรัฐมนตรีอินเดียให้คำมั่นในฐานะ “ประเทศซึ่งมีศักยภาพสูงสุด” ด้านการผลิตวัคซีน ช่วยเหลือชาวโลกต่อสู้กับวิกฤติโรคระบาดโควิด-19

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ว่านายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ( ยูเอ็นจีเอ ) เมื่อวันเสาร์ มีเนื้อหาตอนหนึ่ง ยืนยันการตอบสนองต่อวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ในฐานะเป็นประเทศมีศักยภาพสูงสุดด้านการผลิตวัคซีน อินเดียพร้อมใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ “เพื่อผลประโยชน์ของมนุษยชาติ”

ขณะเดียวกัน ผู้นำอินเดียเรียกร้องการปฏิรูปสหประชาชาติ “อย่างจริงจังกว่านี้” โดยตั้งคำถามว่าตลอด 9 เดือนที่ผ่านมานี้ ประชาคมโลกร่วมกันต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคร้าย “แล้วการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพของยูเอ็นอยู่ที่ใด ?”

ทั้งนี้ โมดีไม่ได้วิจารณ์เพียงการดำเนินงานในภาพรวมของยูเอ็นที่มีต่อวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้เท่านั้น แต่เน้นว่าองค์กรระหว่างประเทศขนาดใหญ่ที่สุด “ต้องปฏิรูปอย่างแท้จริง” รวมถึงการแก้ไขโครงสร้างของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) สอดคล้องกับท่าทีของเยอรมนีและญี่ปุ่น ซึ่งต้องการให้มีการขยายโควตาสมาชิกถาวรของยูเอ็นเอสซี “ให้มีความหลากหลาย” อนึ่ง อินเดียจะเริ่มวาระสมาชิกไม่ถาวรของยูเอ็นเอสซี ซึ่งมีวาระ 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีหน้า
 
อย่างไรก็ตาม โมดีไม่ได้กล่าวถึงบรรยากาศความขัดแย้งยืดเยื้อเรื่องพรมแดนบนเทือกเขาหิมาลัยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเด็นภูมิภาคแคชเมียร์กับปากีสถาน และเขตลาดักห์กับจีน แม้ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว นายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน ผู้นำปากีสถาน กล่าวต่อสมัชชายูเอ็น โจมตีรัฐบาลนิวเดลีอย่างหนักเรื่องแคชเมียร์ จนผู้แทนการทูตของอินเดียวอล์กเอาต์จากห้องประชุม